เมนู

3 สิ้นไป และราคะ โทสะ โมหะ เบาบางลง ข้อนี้เป็นผลประการที่ 2
เป็นอานิสงส์ประการที่ 2. ภิกษุจะเป็นอุปปาติกะ (เป็นอนาคามี) ผู้
จะปรินิพพานในภพนั้นเป็นผู้ไม่ต้องกลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดาเพราะ
สังโยชน์เบื้องต่ำทั้ง 5 สิ้นไป ข้อนี้เป็นผลประการที่ 3 เป็นอานิสงส์
ประการที่ 3 ภิกษุทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้
เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบันเข้า
ถึงอยู่ ข้อนี้เป็นผลประการที่ 4 เป็นอานิสงส์ประการที่ 4. ดูก่อนผู้มี
อายุ เมื่อพวกเราเป็นผู้ประกอบตนให้ติดคอยู่ในความสุข ประการเหล่า
นี้แล พวกเราพึงหวังได้ผล 4 ประการ อานิสงส์ 4 ประการ ดังนี้.

ว่าด้วยผู้ไม่ควรล่วงฐานะ 9



[117] ดูก่อนจุนทะ ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้ คือการที่พวก
ปริพาชกอัญญเดียรถีย์พึงกล่าวอย่างนี้ว่า พวกสมณะศากยบุตร เป็นผู้มี
ธรรมไม่ตั้งมั่นแล้ว. ดูก่อนจุนทะ พวกเธอควรกล่าวกะพวกปริพาชก
อัญญเดียรถีย์ ผู้มีวาทะอย่างนี้ว่า ดูก่อนผู้มีอายุ ธรรมทั้งหลายอันพระ
ผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้ทรงเห็น ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรง
แสดงแล้ว ทรงบัญญัติแล้วแก่สาวกทั้งหลาย เป็นธรรมอันพวกสาวกไม่ควร
ก้าวล่วงตลอดชีวิต มีอยู่แล. ดูก่อนผู้มีอายุ เสาเขื่อนหรือเสาเหล็กมีราก
อันลึก ปักไว้ดีแล้ว ไม่หวั่นไหว ไม่สั่นสะเทือน ฉันใด ธรรมทั้งหลาย
อันพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงรู้ทรงเห็น ผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงแสดงแล้ว ทรงบัญญัติแล้ว แก่สาวกทั้งหลาย เป็นธรรมอันสาวกไม่
ก้าวล่วงตลอดชีวิต ฉันนั้นเหมือนกันแล. ดูก่อนผู้มีอายุ ภิกษุใด เป็น
พระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว

ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนแล้ว มีสังโยชน์ในภพสิ้นแล้ว เป็น
ผู้พันแล้วเพราะรู้ชอบ ภิกษุนั้นไม่ควรประพฤติล่วงฐานะ 9 ประการ.
ดูก่อนผู้มีอายุ ภิกษุผู้เป็นขีณาสพ ไม่ควรจงใจปลงสัตว์จากชีวิต ไม่ควร
ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ ซึ่งนับว่าเป็นขโมย ไม่ควรเสพเมถุน
ไม่ควรกล่าวคำเท็จทั้งที่รู้ ไม่ควรบริโภคกามที่ทำความสั่งสม เหมือน
อย่างตนเป็นผู้ครองเรือนในกาลก่อน ไม่ควรถึงฉันทาคติ ไม่ควรถึงโทสาคติ
ไม่ควรถึงโมหาคติ ไม่ควรถึงภยาคติ. ดูก่อนผู้มีอายุ ภิกษุใดเป็น
พระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว
ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนแล้ว มีสังโยชน์ในภพหมดสิ้นแล้ว
เป็นผู้พันแล้ว เพราะความรู้ชอบ ภิกษุนั้น เป็นผู้ไม่ควรประพฤติล่วง
ฐานะ 9 ประการเหล่านี้.
[118] ดูก่อนจุนทะ ข้อนั้นเป็นฐานะที่จะมีได้ คือการที่
ปริพาชกอัญญเดียรถีย์ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมปรารภกาลนาน
ที่เป็นอดีต บัญญัติญาณทัสสนะอันหาฝั่งมิได้ แต่หาได้ปรารภกาลนานที่
เป็นอนาคต บัญญัติญาณทัสสนะอันหาฝั่งมิได้ไม่ เพราะเหตุไรจึงทรง
บัญญัติเช่นนั้น การที่ทรงบัญญัติเช่นนั้น เป็นอย่างไรเล่า. พวกปริพาชก
อัญญเดียรถีย์เหล่านั้น ย่อมสำคัญสิ่งที่พึงบัญญัติอันไม่ใช่ญาณทัสสนะ. ซึ่ง
เป็นอย่างอื่นด้วยญาณทัสสนะซึ่งเป็นอย่างอื่น เหมือนคนโง่ ไม่ฉลาด
ฉะนั้น.
ดูก่อนจุนทะ สตานุสาริญาณ ปรารภกาลนานที่เป็นอดีต ย่อม
มีแก่ตถาคต ย่อมระลึกได้ตลอดกาล มีประมาณเท่าที่ตนหวัง และญาณ

อันเกิดแต่ความตรัสรู้ ย่อมเกิดขึ้นแก่ตถาคต เพราะปรารภกาลนานที่เป็น
อนาคตว่า ชาตินี้มีในที่สุด บัดนี้ภพใหม่ย่อมไม่มี ดังนี้.

ว่าด้วยเหตุที่มีพระนามว่า ตถาคต



[119] ดูก่อนจุนทะ แม้หากว่า สิ่งที่เป็นอดีต ไม่เป็นจริง
ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตก็ไม่พยากรณ์สิ่งนั้น. ดูก่อน
จุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นอดีตเป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วย
ประโยชน์ ตถาคตย่อมเป็นผู้รู้กาลในสิ่งนั้น เพื่อพยากรณ์ปัญหานั้น.
ดูก่อนจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นอนาคตไม่เป็นจริง ไม่เป็นของแท้ ไม่
ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตก็ไม่พยากรณ์สิ่งนั้น. ดูก่อนจุนทะ แม้
หากว่าสิ่งที่เป็นอนาคตเป็นของจริง เป็นของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประ-
โยชน์ ตถาคตก็ไม่พยากรณ์แม้สิ่งนั้น. ดูก่อนจุนทะ แม้หากว่า สิ่งที่
เป็นอนาคต เป็นของจริงเป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคต
ย่อมเป็นผู้รู้กาลในสิ่งนั้น เพื่อพยากรณ์ปัญหานั้น. ดูก่อนจุนทะ แม้หาก
ว่าสิ่งที่เป็นปัจจุบันไม่เป็นของจริง ไม่เป็นของแท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ตถาคตย่อมไม่พยากรณ์สิ่งนั้น ดูก่อนจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นปัจจุบัน
เป็นของจริง เป็นของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตก็ไม่
พยากรณ์แม้สิ่งนั้น ดูก่อนจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นปัจจุบัน เป็นของ
จริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตย่อมเป็นผู้รู้กาลใน
สิ่งนั้น เพื่อพยากรณ์ปัญหานั้น. ด้วยเหตุดังนี้แล จุนทะ ตถาคตเป็น
กาลวาที เป็นสัจจวาที เป็นภูตวาที เป็นอัตถวาที เป็นธรรมวาที เป็นวินัย
วาที ในธรรมทั้งหลายทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน เพราะฉะนั้น
ชาวโลกจึงเรียกว่า ตถาคต ด้วยประการฉะนี้.